ในช่วงวัยเตาะแตะ หรือเด็กในวัย 1-3 ขวบ ผิวหนังของเด็กในวัยนี้ยังเป็นผิวที่บอบบาง อ่อนโยนและยังพัฒนาเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ซึ่งชั้นผิวที่บางของเด็กไม่สามารถป้องกันสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ได้ และยังดูดซับสารอันตรายเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นมลภาวะ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์ หรือสารพิษต่าง ๆ ทำให้ผิวของเด็กมีอาการแพ้ หรือติดเชื้อได้ง่าย
ดังนั้นนอกจากการดูแลผิวด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน และเหมาะกับผิวลูกแล้ว อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยดูแลผิวลูกให้แข็งแรงได้จากภายใน ซึ่งสารอาหารแต่ละชนิดจะช่วยดูแล และบำรุงผิวพรรณของลูกได้อย่างไร และสารอาหารที่ดีกับผิวลูกมีอยู่ในอาหารชนิดใดบ้าง มาดูแล้วนำไปลองปรุงอาหารให้ลูก ๆ กันค่ะ
มะเขือเทศ มีสารอาหารที่ดีกับผิวหลายชนิด พ่อแม่อยากให้ลูก ๆ กินมะเขือเทศเพราะว่ากันว่ากินมะเขือเทศแล้วผิวจะดี แก้มจะแดง สดใส
- สารไลโคปีน ในมะเขือเทศมีไลโคปีนซึ่งถือว่าสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยดูแลปกป้องการเสื่อมของเซลล์ร่างกาย ไลโคปีนยังช่วยป้องกันผิวเด็ก ๆ ที่อาจถูกทำร้ายจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดด้วย โดยรังสียูวีสามารถทำร้ายให้ผิวไหม้ ผิวอักเสบได้
- นำหอมหัวใหญ่สับ ผัดกับเนยจนสุก
- จากนั้นใส่มะเขือเทศลูกใหญ่ที่หั่นไว้ลงไปผัดให้เข้ากันจนมะเขือเทศสุก ปรุงด้วยเกลือเล็กน้อย หรืออาจจะเติมน้ำตาลนิดหน่อยก็ได้ถ้าอยากให้ตัดกับรสเปรี้ยวของมะเขือเทศ
- นำส่วนผสมไปปั่นให้ละเอียด ตกแต่งราดด้วยนมสดของลูก ๆ พร้อมกิน แต่หากอยากให้ซุปมีเนื้อสัมผัสของมะเขือเทศเหลืออยู่ก็ไม่ต้องนำไปปั่นก็ได้ค่ะ
- หากอยากได้ไลโคปีนในมะเขือเทศอย่างเต็มที่ ควรปรุงมะเขือเทศให้สุก เพราะมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายนำไปใช้ได้ดีกว่ามะเขือเทศสด
- ควรให้ลูกเริ่มกินมะเขือเทศในช่วงอายุ เมื่อ 10-12 เดือนขึ้นไป และระวังในเด็กบางคนอาจมีอาการแพ้มะเขือเทศมีผื่นขึ้นตามร่างกาย หรือบริเวณปากได้ แต่มีโอกาสเกิดได้น้อย
ปลาแซลมอน มีโอเมก้า ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ที่นอกจากจะมีประโยชน์กับเด็ก ๆ ในวัยเตาะแตะช่วยบำรุงสมอง และระบบประสาทแล้ว โอเมก้า 3 ในปลาแซลมอนยังดีกับผิวพรรณด้วย
โอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 3 ในปลาแซลมอน ช่วยให้ผิวเปล่งประกายและสุขภาพดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าไปสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ช่วยคงความชุ่มชื่นและแข็งแรง ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและเส้นใยอีลาสติน จึงส่งผลให้ผิวดูสดใส โอเมก้า 3 ยังช่วยเคลือบผิวเพื่อดูดซับแสงยูวีป้องกันไม่ให้แสงแดดจากดวงอาทิตย์ทำร้ายเซลล์ผิวของลูกด้วย นอกจากนี้ในการศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าน้ำมันปลา (หรืออาหารอื่น ๆ ที่มีโอเมก้า 3) อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนังแพ้อักเสบได้
- ตั้งหม้อใส่เนยและใส่หอมหัวใหญ่สับลงไปผัด
- ใส่แครอท มันฝรั่งลงไปผัดสักครู่
- เติมน้ำเปล่า ค่อย ๆ ต้มจนผักเริ่มนิ่ม
- ใส่เนื้อปลาแซลมอนที่หั่นชิ้นพอดีคำลงไปในขณะที่น้ำเดือด
- ใส่วิปปิ้งครีม หรือนมสดลงหม้อต้ม เคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ
- ปรุงรสด้วยเกลือ เสร็จพร้อมกิน
- สำหรับช่วงอายุที่ให้ลูกเริ่มกินปลาแซลมอนได้ กุมารแพทย์แนะนำว่าควรให้ลูกเริ่มอาหารทะเลเมื่อลูกอายุ 1 ขวบขึ้นไป เพราะอาจจะกระตุ้นให้เกิดการแพ้ได้
- ระวังก้างที่อยู่ในปลาแซลมอน ถึงแม้จะแปะป้ายว่าไร้ก้าง แต่อาจจะมีก้างเล็ก ๆ ได้
ฟักทองไม่ได้มีดีแค่วิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตาของเด็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังมีแคโรทีนอยด์ สารต้านอนุมูลอิสระที่ดีกับเซลล์ร่างกาย เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยปกป้องผิวของเด็ก ๆ ด้วย
- วิตามินซี ในฟักทองนอกจากมีแคโรทีนอยด์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องผิวลูกให้แข็งแรงแล้ว ยังมีวิตามินซีสูง วิตามินซีช่วยบำรุงผิวลูกให้คงความสดใส เนียนนุ่ม แบบธรรมชาติ และยังลดการอักเสบ ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้น โดยไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง เมื่อเด็ก ๆ เกิดแผลขึ้นจึงช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น
- ผัดเนยกับหอมหัวใหญ่ จากนั้นใส่ผักทองที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงไปผัด
- เติมน้ำเปล่าลงไป ผัดให้ฟักทองสุกนิ่มจนเละ ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย
- นำส่วนผสมฟักทองที่เคี่ยวไว้แล้ว ใส่เครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด
- เทส่วนผสมลงในหม้อตั้งไฟอีกครั้ง ค่อย ๆ เติมวิปปิ้งครีมลงไป เคี่ยวไฟอ่อน ๆ ให้ส่วนผสมข้นขึ้น ปรุงรสด้วยเกลือ พร้อมเสิร์ฟกับขนมปังกรอบ
- การทำอาหารด้วยฟักทองไม่ควรใช้เวลาปรุงนาน เพราะจะทำให้สูญเสียคุณค่าสารอาหาร และเมื่อปอก-หั่นฟักทองแล้วควรรีบปรุงทันทีเพราะหากทิ้งไว้ผิวฟักทองจะมีสีดำคล้ำขึ้น
- ผักที่มีเบตา-แคโรทีน หรือผักที่มีสีส้ม สีเหลือง เช่น ฟักทอง แครอท จะมีรสหวานกินง่ายกว่าผักสีเขียว หากฝึกให้ลูกเริ่มกินผักสีส้มก่อนผักสีเขียวอาจทำให้ลูกติดรสหวาน และอาจจะไม่ยอมกินผักสีเขียวค่ะ
แครอทเป็นผักที่เต็มไปด้วยวิตามินมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และเป็นอาหารที่แม่ ๆ นิยมมาปรุงเป็นเมนูให้ลูก ๆ
เบตา-แคโรทีน ในแครอทมีเบตา-แคโรทีน มีคุณสมบัติช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งรังสียูวีจากแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดผิวอักเสบ ผิวแดง ผิวไหม้แดด การได้รับ เบตา-แคโรทีนจากผักผลไม้ต่าง ๆ เป็นประจำ เม็ดสีของเบตา-แคโรทีนจะสะสมที่ชั้นใต้ผิวหนัง ช่วยปกป้องผิวบอบบางของเด็กที่อาจเกิดอันตรายจากแสงแดดได้
- ต้มน้ำซุปตั้งไฟ ใช้เป็นซุปไก่หรือซุปผักก็ได้ รอจนน้ำเดือด
- ใส่หมูสับปั้นเป็นก้อนลงไป รอจนหมูสุก
- เติมแครอทที่หั่นเป็นชิ้น ๆ เล็กพอดีคำลงไป ต้มจนแครอทนิ่ม
- ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส เกลือเล็กน้อย
- ตักเสิร์ฟโรยด้วยต้นหอม ผักชี ได้เป็นซุป หรือต้มจืดแครอทหมูสับแบบไทย ๆ
- ในแครอทมีเบตา-แคโรทีนสูง ซึ่งหากกินแครอทต่อเนื่องนาน ๆ อาจทำให้ผิวของลูกกลายเป็นสีส้มจากเบตา-แคโรทีนได้ ไม่มีอันตราย ซึ่งหากหยุดกินอาหารที่มีเบตา-แคโรทีนสูง สีผิวก็จะกลับมาปกติ ควรเลือกกินอาหารให้สมดุล ไม่กินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป
- วิธีที่ดีที่สุดในการรักษารสชาติ ความสด และปริมาณเบตา-แคโรทีนในแครอทคือการแช่เย็น ถ้าหากยังไม่ได้ปรุงทันทีควรเก็บแครอทไว้ในตู้เย็นก่อน
อาโวคาโด เป็นผักที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์กับร่างกาย และที่สำคัญคือมีวิตามินสูง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี
- อาโวคาโดช่วยลดและควบคุมการอักเสบที่เกิดจากความเสียหายของเนื้อเยื่อ หรือเกิดจากเชื้อโรค สิ่งระคายเคืองต่าง ๆ เนื่องจากผิวของเด็กที่บอบบาง ที่เกิดการอักเสบได้ง่าย การศึกษาแสดงให้เห็นว่าอาโวคาโดสามารถลดการอักเสบได้ในระดับที่ดี
- ช่วยในการรักษาบาดแผลได้เร็วขึ้น นอกเหนือจากเรื่องการลดการอักเสบแล้ว อาโวคาโดยังเป็นประโยชน์ในการรักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้น แทนที่จะใช้แค่ยาปฏิชีวนะ อย่างเดียวแต่อาโวคาโดช่วยสมานแผลได้เร็วขึ้น
- ผัดหัวหอมใหญ่ในกระทะ ค่อย ๆ เติมน้ำซุป เนื้ออาโวคาโด นมสด และน้ำมะนาวเล็กน้อยลงในกระทะ
- จากนั้นเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ๆ สักครู่
- เติมเนื้อกุ้งหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงในกระทะ พอเนื้อกุ้งสุกดี ก็พร้อมกิน
- อาโวคาโดเป็นผลไม้ที่สามารถให้ลูก ๆ กินแบบดิบได้ ไม่จำเป็นต้องปรุงให้สุก
- วิธีเลือกอาโวคาโด ถ้าจะกินอาโวคาโดทันทีควรเลือกอาโวคาโดที่สุกพร้อมกินได้เลย โดยบีบดูแล้วอาโวคาโดถ้านิ่มๆ ก็แสดงว่าสุก แต่หากว่ายังไม่กินทันทีสามารถเก็บไว้ 2-3 วันเพื่อบ่มรอให้สุกได้ค่ะ
แคร์ สูตรไฮโป-อัลเลอร์เจนิก ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ผิวหนัง ว่าอ่อนโยน ไม่ระคายเคือง ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ปลอดภัยต่อผิวบอบบางเสมือนผิวลูกน้อย
สูตรไฮโป-อัลเลอร์เจนิก ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ อ่อนโยนแม้ผิวที่บอบบาง
สูตรไฮโป-อัลเลร์เจนิก ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ช่วยทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ปราศจากส่วนผสมของสบู่ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง
ปลอดภัยต่อผิวบอบบางเสมือนผิวลูกน้อย พร้อมกลิ่นหอม อ่อนโยน ไม่มีน้ำหอมฉุน
แชมพูอ่อนใสบริสุทธิ์ ด้วยสูตรพิเศษที่ผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้วว่าไม่ระคายเคืองตาเวลาสระ จึงอ่อนโยนและปลอดภัยต่อลูกน้อย
สบู่เหลวอาบน้ำและสระผม สูตรไฮโป-อัลเลอร์เจนิก ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้
ช่วยควบคุมความมันเพื่อผิวขาว
อมชมพูดูมีออร่า